เปิดตำนานเรื่องจริง ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ปลัดจ่าง นักรบผู้กล้าหาญแห่งพงไพร ปกป้องผืนป่ามาทั้งชีวิต แม้ร่างจะสิ้น แต่วิญญาณยังคงอยู่
โพสต์เมื่อ: 12 ก.ค 2562 เวลา 18:28:29 น. อ่าน: 368 ครั้ง
ขอย้อนไปในสมัยก่อน เมื่อพลเมืองบ้านท่าชัย และก็บ้านท่าด่าน จังหวัดนครนายกได้พากันขึ้นไปถากถางป่าปลูกข้าว ปลูกพริก ไม้ผล แล้วก็ปลูกเรือนเรือนอยู่บนยอดดอยราว 30 หลังคาเรือน จนถึงกำเนิดเป็นชุมชนเล็กๆขึ้นมา และก็ถัดมาทางการได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็นตำบลเขาใหญ่ ขึ้นอยู่กับอำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก นั้นในยุคนั้น ปลัดจ่าง นิสัยสัตย์ ชาวอำเภอเขานางบวช จังหวัดนครนายก มาดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกองทัพ ดูแลหัวเมืองด้านทิศทิศตะวันออก ตัวอย่างเช่น จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก ฯลฯ ท่านเคยผ่านสมรภูมิสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างโชกโชน ท่านมีท่าทางที่สง่างาม สมชายชาติทหาร เมื่อเสร็จสงคราม ท่านมักออกเยี่ยมเยือนทหารไทย บุตรหลานของท่านเสมอ
กาลครั้งหนึ่ง ท่านได้รู้ข่าวสารว่า ลูกน้องของท่านไปตั้งตัวเป็นโจรอยู่บนเขาใหญ่ รวมทั้งมองเห็นลูกน้องถากถางป่าบนเขาใหญ่จนถึงเหี้ยนเตียน ท่านก็รู้สึกเสียใจ ท่านมีความรู้ความสามารถในการปราบปรามโจร และก็รู้จักทำเลที่ตั้งในแถบนี้อย่างดีเยี่ยม มีความชำนิชำนาญในการใช้ปืนบนหลังม้าเมื่อท่านเกษียณราชการ ทางการก็เลยขอความร่วมมือให้ท่านช่วยเหลือราชการชาติบ้านเมืองอีกที ในการทลายซ่องโจรบนเขาใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 5 ก๊กสำคัญด้วยกัน ตัวอย่างเช่น เสือจัน เสือไทร เสือบุญมี เสือสำอาง รวมทั้งเสือสองพี่น้องคือเสือเย็น กับเสือหล้า แม้กระนั้นก็มีพวกกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งไม่ยอมเชื่อ ท่านก็เลยนัดหมายพวกกลุ่มโจรเพื่อพูดจา ณ ป่าหญ้าคา ใกล้หนองขิง แต่ว่าตกลงกันมิได้ ก็เลยมีการต่อสู้กันขึ้น ปรากฏว่าหัวหน้าโจรกลุ่มนั้นโดนจับตาย และท่านได้เชิญราษฎรที่รุกล้ำพื้นที่ลงจากเขาใหญ่
ท่านปลัดจ่าง เป็นผู้มีวิธีการที่แยบยล จนทำให้เสือก๊กต่าง ๆ ยอมรับนับถือและปฏิบัติตาม เลิกราเป็นโจร กลับลงมายังพื้นราบ มีอยู่ครั้งหนึ่ง โจรสองพี่น้อง เพียงพอพบหน้าท่านครั้งแรกเท่านั้น ก็ลงจากหลังม้ามากราบ แล้วพูดคุยกับท่าน ถึงกับยอมบวชเรียน และต่อมามีอาชีพเป็นครูนับว่าท่านปลัดจ่าง เป็นบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ในช่วง กรุงรัตนโกสินทร์ ท่านได้รับแต่งตั้งจากทางราชการให้เป็นผู้เก็บค่ารัชชูปกรณ์(ส่วย) ในพื้นที่นครนายก เนื่องจากขณะนั้นเมืองนครนายก เก็บค่าส่วยส่งหลวงน้อยลงทุกปี เพื่อให้เก็บส่วยได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางราชการจึงสรรหาบุคคลที่จะมาทำหน้าที่นี้ ด้วยเหตุนี้ท่านปลัดจ่าง จึงได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ดังกล่าว เพราะท่านเป็นผู้มีฝีมือ มีความซื่อสัตย์ มีจิตใจโอบอ้อมอารี กอร์ปกับท่านเชี่ยวชาญในการรบ เคยออกปฏิบัติหน้าที่เก็บส่วยกับทางราชการ ท่านจึงมีม้าเป็นพาหนะ แต่งกายด้วยชุดสีแดง มีปืนและดาบเป็นอาวุธประจำกายต่อมา ท่านได้สิ้นชีวิตลงด้วยพิษไข้ป่า ด้วยวัย 75 ปี ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งศาลเพียงตาไว้ที่ใต้ต้นกระบกใหญ่บนเขา ใกล้โรงเรียนวัดหนองเคี่ยม จังหวัดนครนายก โดยเรียกศาลนั้นว่า "ศาลเจ้าพ่อปลัดจ่าง"
ต่อมา หลังรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการจัดตั้งป่าเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติ ได้เกิดนิมิต ถึงเจ้าผู้คุ้มครองสรรพสัตว์ และผืนป่า จึงได้มีการจัดตั้งศาลเจ้าพ่อขึ้นบริเวณกิโลเมตรที่ 23 ถนนธนะรัชต์ และได้อัญเชิญดวงวิญญาณของท่านมาสิงสถิตไว้ และขนานนามว่า "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" ถือว่าท่านเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ทุกปี ในวันที่ 26 มกราคม จะมีการบวงสรวง ระลึกถึงพระคุณท่าน โดยเลือกเอาวันที่อัญเชิญดวงวิญญาณท่าน มาอยู่ที่ศาลใหม่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ มักจะแวะกราบไหว้อธิษฐาน ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยและขอโชคลาภจากท่านอยู่เสมอ และมักจะสมความปรารถนา หรือใครเดินทางผ่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็มักจะบีบแตร ทำความเคารพท่านทุกครั้ง ถิ่นสถิตของเจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็มีอยู่ทั่วไปในบริเวณป่าเขาใหญ่ทั้งหมด และเจ้าหน้าที่รักษาป่า ตลอดจนผู้ที่ปฏิบัติงานในบริเวณนั้น ก็มักจะมากราบบูชา บนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อเขาใหญ่องค์นี้เสมอ
ร่วมโหวตคะแนนให้เรื่องนี้ คะแนน 0.0 จาก 5 ผู้อ่าน 0 คน
เรื่องล่าสุดของหมวดหมู่ ตำนานเรื่องเล่า