แต่ต่อมาในช่วงปลายปี 1920 รัฐมิสซิสซิปปีก็ได้มีการจัดสรรเงินเพื่อสร้างสถาบันย่อยของโรงพยาบาลบ้ารัฐมิสซิสซิปปีจนกระทั่งในปี 1935 Mississippi State Hospital (โรงพยาบาลรัฐมิสซิสซิปปี) ก็เปิดทำการใน Whitfield ทางตะวันออกของเมือง Jackson และยังดำเนินการจนทุกวันนี้สำหรับคนไข้ในโรงพยาบาล Mississippi State Lunatic Asylum เดิมนั้น ล้วนเป็นคนมีอาการป่วยทางจิต หลายคนถูกส่งตัวมาเพราะความต้องการของคู่สมรส ครอบครัว รวมทั้งโดยคนอื่นๆ เนื่องจากพวกเขามีอาการที่รุนแรงจนคนที่บ้านรับมือไม่ไหวที่น่ากลัวคือ หากคนไข้ที่นี่เสียชีวิตลง จะไม่มีการแจ้งให้ญาติๆ ทราบ แต่เจ้าหน้าที่จะทำการฝังศพพวกเขาไว้ที่นี่อย่างเงียบๆ ในสุสานที่ทำขึ้นอย่างลับๆ
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่ญาติผู้ป่วยต้องการ พวกเขาพาผู้ป่วยมาที่นี่หวังให้มีผู้ชำนาญช่วยดูแล และเมื่อหายแล้วจะกลับมารับแต่ปรากฏว่าทางโรงพยาบาลไม่เคยแจ้งให้ญาติทราบว่ารักษาอย่างไร อาการเป็นยังไง แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต หากไม่มีญาติมาตามหา ทางโรงพยาบาลก็จะไม่แจ้งให้ทราบ หรือต่อให้มาถามญาติก็ไม่มีโอกาสได้เห็นศพรวมทั้งอาจไม่รู้สาเหตุการตายที่แท้จริงด้วย
ในขณะที่ทางรัฐก็รับรู้เรื่องนี้มาตลอด เพราะมีหลักฐานเป็นแผนที่วาดด้วยมือจากศตวรรษที่ 19 และแผนที่ดังกล่าวนี้ก็นำไปสู่การตามหาศพผู้ป่วย แต่ก็หาศพไม่พบ จนกระทั่งปี 2012 ได้มีการพบโลงศพแรกในขณะที่คนงานกำลังขุดดินเพื่อทำที่จอดรถใหม่ในปีต่อมาก็พบศพอีก 65 ศพ จนได้มีการขุดศพขึ้นมาทั้งหมด 66 ศพ ขึ้นมา แล้วเอาไว้ในพื้นที่ที่ปราศจากกรดทางทิศเหนือทในศูนย์โบราณคดีที่มหาวิทยาลัยรัฐมิสซิสซิปปีอย่างไรก็ตาม จากปี 2013-2015 ได้มีการสำรวจและการตรวจจับเรดาร์ และมีการเปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีศพในบริเวณดังกล่าวอีก 5,000-7,000 ศพ
จะเกิดอะไรขึ้นกับศพที่ถูกขุดขึ้นมา?
แทนที่จะนำศพเหล่านี้ไปฝังอีกครั้งในสถานที่อื่น แต่เจ้าหน้าที่ในรัฐมิสซิสซิปปีได้เสนอให้สร้างศูนย์อนุสรณ์และศูนย์สำหรับผู้เยี่ยมชมไว้ในสถานที่ของโรงพยาบาลทั้งนี้ศพจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในภาชนะที่ปราศจากกรดเพื่อจะให้นักวิจัยนำไปตรวจสอบเกี่ยวกับวิธีการรักษาผู้ป่วยทางจิตเมื่อหลายปีก่อนนอกจากนี้เมื่อตรวจสอบแล้ว ทางทีมวิจัยจะบุตัวตนของศพ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เพราะบางทีหนึ่งในศพเหล่านี้อาจเป็นญาติของพวกเขาก็ได้
อุปสรรคสำคัญในการทำงานคือค่าใช้จ่าย Ralph Didlake ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์และธรณีศาสตร์ของโรงพยาบาล กล่าวว่า "การขุดศพขึ้นมาพร้อมทั้งระบุตัวตนนั้น ต้องมีค่ายใช้จ่ายสูงถึง 130 ล้านบาท"นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับทำศูนย์อนุสรณ์และศูนย์สำหรับผู้เยี่ยมชมที่ตอนนี้ยังไม่ได้ออกแบบและไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้งบเท่าไหร่ในการนำศพขึ้นมาศึกษานั้น แน่นอนว่าอาจจะมีการค้นพบเรื่องราวอันน่าเศร้า หดหู่ อัปยศ รวมทั้งความเจ็บปวดอื่นๆ ของคนไข้ในอดีตเหล่านี้แต่นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประสบการณ์เหล่านั้น Didlake บอกว่า "เราต้องมองเรื่องเหล่านี้ผ่านมุมมองของคนสมัยใหม่ และมันจะทำให้เรารู้ว่าควรรักษาผู้ป่วยทางจิตในอนาคตอย่างไร"
Zuckerman ผู้ที่ทำงานร่วมกับ Didlake สำหรับโปรเจคนี้ กล่าวว่า "ข้อเสนอนี้ค่อนข้างผิดปกติ ที่อื่นเค้าไม่ได้ทำกันแบบนี้ เพราะที่อื่นเมื่อขุดพบศพ พวกเขาจะทำการฝังกลับไปอีกครั้งในที่อื่น แต่ถ้าทำอย่างนั้น เราจะไม่ได้อะไรข้อมูลอะไรจากศพเลย"นับตั้งแต่มีการขุดพบศพ Zuckerman บอกว่าเธอได้รับอีเมลล์ทุกสัปดาห์จากญาติผู้ป่วยที่เคยเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ญาติกลับไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างและถูกฝังอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ตาม หากโครงการนี้แล้วเสร็จ ทางทีมงานที่ดำเนินการคาดว่าจะให้คำตอบญาติผู้ป่วยได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ต้องอาศัยเวลาในการตรวจสอบสักระยะ